อสังหาฯ ไทยคึกคัก พม่า-จีน แห่ซื้อคอนโดหรูกลางกรุง อินเดีย เริ่มรุกพัทยาแล้ว

นายวิทย์ กุลธนวิภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท จำกัด และบริษัท เคลเลอร์ วิลเลี่ยม ไทยแลนด์ จำกัด บริษัทตัวแทนขายและที่ปรึกษาการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตในการบริหารโครงการคอนโดมิเนียม โรงแรม วิลล่า จำนวน 20 โครงการ มูลค่า 30,000-40,000 ล้านบาท

โดยปี 2566 มีแผนบริหารโครงการในประเทศและขยายฐานลูกค้าต่างชาติให้มากขึ้น ตั้งเป้าจะมีมูลค่าการบริหารโครงการที่ 50,000 ล้านบาท ล่าสุดได้เซ็นสัญญาการบริหารคอนโดมิเนียม มูลค่า 4,000 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเจรจา 4-5 โครงการ คาดมียอดขายได้ตามเป้า 10,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 300% เมื่อเทียบกับช่วงเกิดโควิด

ในปีนี้ตลาดต่างประเทศจะเจาะลูกค้าต่างชาติมากขึ้น ตั้งเป้ารายได้เพิ่ม 50% เป็นเป้าสูงกว่าช่วงเกิดโควิดที่มีรายรับจากตลาดต่างประเทศ 40% และลดลงช่วงที่เกิดโควิดมาอยู่ที่ 15% โดยกลยุทธ์ผลักดัน คือ การขยายสาขา ซึ่งใน 2 เดือนนี้จะเปิดสาขาเพิ่มประเทศฮ่องกงและทำตลาดที่ประเทศจีนมากขึ้น รวมถึงขยายฐานลูกค้าในประเทศอินเดีย และซาอุดีอาระเบียมากขึ้น

นายวิทย์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันตลาดลูกค้าต่างชาติเริ่มดีขึ้นก่อนโควิด ทั้งฮ่องกง จีน เมียนมา กัมพูชา และสหรัฐอเมริกา ยังคงต้องการซื้อคอนโดมิเนียม ราคา 4-5 ล้านบาท และโซนสุขุมวิทเป็นทำเลต่างชาตินิยม

หากลงลึกถึงเซ็กเมนต์ของต่างชาติพบว่าเมียนมาและจีนมองหาห้องชุดราคาแพง สอดรับกับสินค้าที่บริษัทบริหารโครงการอยู่ เช่น จีนมองหาเพนต์เฮ้าส์ 20-50 ล้านบาท ห้องชุด 100 ล้านบาท แต่ด้วยสภาพตลาดในประเทศของจีน คนชนชั้นกลางยังไม่สะดวกเดินทางออกนอกประเทศ มีเพียงกลุ่มคนจีนที่มีความร่ำรวยซึ่งเมื่อต้นปี 2566 เดินทางออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ในสัดส่วนที่ยังไม่มาก

นายวิทย์ กล่าวอีกว่า ขณะที่ลูกค้าเมียนมามีไลฟ์สไตล์ที่ต่างกับชาวจีนที่นิยมอยู่กันเป็นกลุ่ม เพราะชาวเมียนมามีความคุ้นเคยกับประเทศไทยมากกว่า และส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจต้องการมีบ้านหลังที่ 2 ในประเทศไทย จะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมระดับราคา 2-20 ล้านบาท ทำเลใกล้สถานีรถไฟฟ้า สถานทูต ห้างสรรพสินค้า มหาวิทยาลัย

เพราะมีการส่งบุตรหลานเข้ามาศึกษาในประเทศไทย ส่วนชาวอินเดียเป็นอีกกลุ่มที่เข้ามาค่อนข้างมาก หลังเปิดประเทศ และเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อดี นิยมซื้อคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่เมืองพัทยาราคา 2-4 ล้านบาท นายวิทย์ กล่าวต่อว่า ซาอุดีอาระเบียเป็นตลาดที่น่าสนใจ เราได้เข้าไปเปิดตลาดมาได้ปีกว่า รองรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการขยายการลงทุน ทั้งแบบกองทุนและบุคคล

เท่าที่ได้เจรจากับลูกค้า ส่วนใหญ่จะซื้อทั้งคอนโดมิเนียม โรงแรม ในหัวเมืองท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต พัทยา เรามีดีลซื้อโรงแรม 3 แห่งที่ภูเก็ต มูลค่า 6,000 ล้านบาท

คาดกลางปี 2566 จะปิดดีล 1 รายการ มูลค่า 3,000 ล้านบาท ส่วนอเมริกาเริ่มเข้ามามากขึ้น สนใจอสังหาฯ ที่ภูเก็ตและสมุย ราคา 70 ล้านบาท ขณะที่สิงคโปร์การซื้อเริ่มน้อยลง หลังอสังหาฯ ในสิงคโปร์ปรับตัวดีขึ้นหลังช่วงโควิด ทำให้นักลงทุนสิงคโปร์สนใจซื้ออสังหาฯ ในประเทศ

About the author

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *