หัวอกแม่ต้องสู้ จับมือลูกฝ่าอุปสรรค หลังเป็นโรคหายาก ต้องเสียค่ายาเดือนละ 1 แสน

จากกรณีของคุณอัศนียา อุสาหะนันท์ แม่ของเด็กหญิง มิลิลณ์ เอวาลิลณ์ พรหมทอง เปิดใจหลังจากที่ ต้องต่อสู้กับโรคร้ายหายาก ที่เป็นกันเพียงแค่ 0.001 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น มิหนำซ้ำ ยังพบว่าเป็นมะเร็งและเชื้อกระจายอย่างรวดเร็วมาก ทำให้โลกโซเชียลแห่ส่งกำลังใจให้คุณแม่สายสตรองคนนี้อย่างล้นหลาม

คุณอัศนียา กล่าวว่า… ตนตรวจพบว่าเป็นมะเร็งตั้งแต่อายุ 22 ปีแล้ว ซึ่งเป็นชนิดที่ไม่มียารักษาไม่สามารถทำคีโมหรือว่าฉายแสงได้ เราอยู่กับมันมา 9 ปีได้จนตั้งท้องน้อง ก็ปรากฏว่าตรวจเจอเนื้องอกที่ต่อมหมวกไต ซึ่งมันอันตรายมากตอนคลอด จึงจำเป็นต้องส่งตัวมาคลอดที่โรงพยาบาลรามา แต่วันที่ไปทำเรื่องตนลื่นล้มสะโพกหักกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงไม่สามารถผ่าตัดได้เพราะเป็นเนื้องอกที่ต่อมหมวกไตและมะเร็งก็กำเริบด้วย ขณะนั้นตนท้องเพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้น

คุณหมอส่งตัวมาที่โรงพยาบาลรามาก็ได้ผ่าตัดต่อมหมวกไต ก่อนจะมารักษาตัวต่อที่บ้านเป็นเวลาหลายเดือน หลังจากนั้นพอจะคลอดลูกสาวก็มาคลอดที่โรงพยาบาลรามาเมื่อคลอดเสร็จลูกอยู่ไอซียู 29 วัน พบว่าลูกสาวเป็นโรคเท้าปุก ซึ่งตอนที่น้องคลอดได้ 13 วันน้องก็ต้องผ่าลำไส้ 1 ครั้ง และ 3 อาทิตย์หลังจากนั้น น้องก็เข้าเฝือก 3 เดือน และมาผ่าเอ็นร้อยหวายที่เท้า และเข้าเฝือกต่ออีก 1 เดือน ก่อนจะใส่เท้าดามไว้

ในช่วง 6 เดือนแรก น้องก็ต้องใส่ที่เท้าตลอดถอดเฉพาะตอนอาบน้ำ แต่พอหลังจาก 6 เดือนคุณหมอก็ให้ใส่เฉพาะตอนนอนอย่างเดียว ซึ่งคุณหมอให้ใส่เท้าดามไปเรื่อย ๆ จนกว่าลูกสาวอายุ 4 ขวบ สาเหตุที่คุณหมอให้น้องใส่เพราะต้องการให้น้องกระดิกข้อเท้า ได้เนื่องจากว่าโรคเท้าปลุกจะไม่สามารถกระดิกข้อเท้าขึ้นลงได้

“ส่วนตัวของแม่เองโรคเมนทูบี โรคหายาก เป็นกันเพียงแค่ 0.001 เปอร์เซ็นต์ มันเป็นโรคทางพันธุกรรมซึ่งเป็นคนแรกในโรงพยาบาล ที่เป็นโรคนี้และลูกสาวก็ได้รับการถ่ายทอดโรคนี้ด้วยโดยโรคเมนทูบีเป็นจุดเริ่มต้นของมะเร็ง ที่ไม่มียารักษาและเป็นเนื้องอกได้ ซึ่งอาการล่าสุดในตอนนี้ หมอแจ้งว่า ถ้าหากว่าโรคมันลุกลามไปแล้วมันมียาของต่างประเทศที่ค่าใช้จ่าย จะอยู่ที่เดือนละ 1 แสนบาท โดยยาดังกล่าวไม่ได้สามารถทำให้รักษาหาย แต่ช่วยประทังชีวิต ถ้าหากเราได้ใช้ยานี้ทุกเดือนก็จะยืดอายุของเราได้ประมาณ 4 ปี ซึ่งเราไม่มีกำลังในการซื้อยาตัวนี้

ตอนนี้มะเร็งก็กำเริบลุกลามเร็วมากขึ้น ตอนนี้มะเร็งอยู่ที่ทรวงอก และลำคอ ซึ่งคุณหมอกำลังประชุมว่าจะสามารถผ่าตัดทั้งสองที่ได้เลยหรือไม่ และอีก 1 วิธี คือทานยาตัวนี้ ซึ่งหมอจะลองให้ตนใช้ยาตัวนี้ดูก่อน และถ้าหากหมดโควต้ายาฟรี ก็อาจจะต้องจ่ายเอง ซึ่งตนคิดว่าน่าจะไม่มีกำลังในการจ่ายค่ายาตัวนี้อยู่แล้วเพราะตนกับลูกจะต้องไปหาหมอทุกเดือน ถ้าหากว่าถึงวันนั้นจริงๆ ก็คงจะต้องปล่อยไป เพราะที่ผ่านมา ตนก็พยามเข้าใจในตัวโรคดีว่า มันไม่มียารักษา แต่ตนในฐานะที่เป็นแม่ก็อยากจะทำให้ดีที่สุด

มันเป็นทางเดียวที่เราสามารถทำได้ในตอนนี้เราก็ต้องสู้ เพราะมันไม่มีทางเลือกอื่นให้เราทำเลย ในฐานะที่เราเป็นแม่เราก็ทำหน้าที่เพื่อลูก ทำให้ดีที่สุดจนถึงวันที่เราไม่อยู่แล้ว อย่างน้อยถ้าเราไม่ได้อยู่กับเขา เราก็ได้พยายามให้ลูกเป็นคนปกติที่สุดไม่อยากให้เค้าโตแล้วมีปมด้อยในตัวตัวเอง เราทำได้ดีที่สุดเท่าที่เราสามารถทำได้ เคยมีบางช่วงที่เราเหนื่อยมากๆ คิดว่าไม่อยากอยู่ต่อ แค่ครอบครัวก็ให้กำลังใจว่า อยากให้อยู่ต่อ สู้ต่ออีกนิด เพื่อแม่ เพื่อลูกของเรา

ซึ่งในตอนนั้นมันเหนื่อยมาก เป็นแม่อย่างเดียวก็ยากแล้วแต่ตอนนี้เป็นแม่ที่ป่วยและลูกก็มาป่วยอีก มันเลยมีความรู้สึกหลายอย่าง จึงอยากฝากบอกลูกสาวว่า เค้าไม่ได้เป็นคนเดียวในโลกที่เป็นแบบนี้ แม่ก็เป็นเหมือนเขามาก่อน ถ้าหากว่าวันนึงลูกไม่อยากกินยาก็ให้คิด แม่ก็พยายามที่จะให้เขาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบที่สุด ถึงแม้ว่าในวันที่แม่ไม่อยู่แล้ว แต่แม่ก็อยู่กับหนูตลอด อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 17 ธ.ค. นี้ คุณหมอจะลองให้ทานยาตัวดังกล่าวดูว่าจะรักษาได้มากน้อยแค่ไหน

About the author

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *