หนุ่มสุดซวย อยู่ๆ กลายเป็นผู้ต้องหา เหตุไปแจ้งความลักทรัพย์ จนถูกไล่ออกจากงาน

วันที่ 18 ต.ค. 2566 เมื่อเวลา 16.30 น. นายปัญญา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 48 ปี ผู้เสียหาย ได้เดินทางมาขอความช่วยเหลือจาก นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เนื่องจากตอนนี้ไปสมัครที่ไหนก็ไม่มีใครรับ นายปัญญา เปิดเผยว่า… เมื่อปี 2564 มีนักศึกษาฝึกงานอายุ 19 ปี ณ. ขณะก่อเหตุได้ขโมยของบริษัทไป

เป็นซีพียู 23 ชิ้น และแรม 19 ตัว รวมมูลค่า 249,170 บาท ตนได้รับมอบอำนาจจากเจ้าของบริษัทให้ไปแจ้งความเอาผิดกับนักศึกษารายนี้ ในวันที่ 22 มี.ค.64 ที่ สภ.บางประอิน จ.พระนครศรีอยุธยา หลังจากแจ้งความเสร็จ ตนก็มาทำงานตามปกติ

ต่อมาในวันที่ 8 เม.ย.64 นักศักษาฝึกงานที่เป็นคนก่อเหตุก็ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน และยอมรับว่าเป็นผู้ก่อเหตุลักทรัพย์จริง โดยบอกว่าจะรับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับทางบริษัทแล้วก็เรื่องก็ไปจบที่ศาล และรอลงอาญา 2 ปีในตอนนั้น

หลังจากนั้นตนก็ทำงานมาเรื่อยๆ และเปลี่ยนงานบริษัทใหม่ประมาณ 2 บริษัท จนล่าสุดตนได้ทำอยู่บริษัทแห่งหนึ่งใน จ.ปทุมธานี ซึ่งอีก 2 วัน ตนก็จะผ่านโปร 120 วัน ทางบริษัทได้ตรวจสอบประวัติอาชญากรรมพนักงานทุกคน พบว่าตนมีประวัติถูกแจ้งความในข้อหาลักทรัพย์ ตนก็ปฏิเสธไปว่าไม่เคยไปก่อคดีที่ไหน และไม่เคยไปขโมยของใคร จึงได้เดินทางไปที่ สภ.บางประอิน เพื่อพิสูจน์ว่าไม่เคยก่อเหตุ และอยากรู้ว่าทำไมตนมีประวัติถูกแจ้งความข้อหาลักทรัพย์

ปรากฎว่า เป็นการทำผิดพลาดของตำรวจเจ้าของคดี ที่ใส่เลขบัตรประชาชน 13 หลักของตน สลับกับนักศึกษาที่ฝึกงานที่ขโมยของไป ทำให้ชื่อตนกลายเป็นชื่อผู้ต้องหาแทน ตนจึงถามตำรวจว่า แบบนี้ผมจะต้องทำยังไงต่อ ตำรวจตอบมาว่า “ขอโทษ” อ๋อสลับเลข คือคีย์ผิด ตนจึงได้ถามกลับว่าใครจะรับผิดชอบ ก็ไม่ได้มีคำตอบให้ และในวันนั้นคนบันทึกจะเป็นคนนึง แต่คนลงระบบคอมฯ จะเป็นอีกคน ตนจึงไม่แน่ใจว่าผิดพลาดจากตรงไหน

จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ส่งผลให้ตนได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะทำให้มีคดีติดตัวและมีชื่อในสารบบ ทั้งที่ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ทำไมถึงต้องมารับผลการกระทำในครั้งนี้ และไม่คิดว่าการที่ตนทำความดีเพื่อบริษัทแล้วจะได้ผลที่ตามมาแบบนี้ จึงรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับตน

นอกจากนี้ตนสงสัยว่าที่ผ่านมาตนเปลี่ยนงานมา 2 บริษัท แต่ทำไมเพิ่งมาตรวจเจอประวัติลักทรัพย์ในปี 66 จึงต้องการเรียกร้องในสิ่งที่ตนเสียไปทั้งเรื่องงานที่ต้องทำต่อเนื่อง และรายได้ที่ต้องนำมาเลี้ยงครอบครัวนั่นคือสิ่งที่ตนต้องการ ซึ่งตนอาจจะอยู่ที่นี่เป็น 5-10 ปีก็ได้ ถ้าไม่มีเหตุการณ์แบบนี้ แต่ตอนนี้กลับต้องมาเดินหางานใหม่ซึ่งมันไม่ยุติธรรม อีกทั้งตอนนี้ชื่อของตนใน สภ.บางปะอิน ไม่เจอประวัติแล้ว แต่ไปตรวจสอบในกองอาชญากรรมก็ขึ้นเป็นผู้เสียหายอยู่ ตนจึงออกมาร้องในครั้งนี้ เพื่อให้ได้ความยุติธรรมกลับมา

ด้าน นายเอกภพ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของพี่เขาเลย เป็นเรื่องที่ สภ.บางปะอิน ต้องรับผิดชอบ เพราะเขาเป็นพลเมืองดีไปแจ้งความให้บริษัท กลับพบประวัติข้อหาลักทรัพย์ เขาต้องตกงานไปแล้ว ถูกตราหน้าไปแล้ว ตำรวจต้องเยียวยา ตรงนี้ตนต้องคุยกับกระทรวงยุติธรรมเพราะว่าเขาเป็นผู้เสียหาย และในเรื่องของการเปลี่ยนประวัติต้องส่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติแก้ไขประวัติ เบื้องต้น สภ.บางปะอิน ได้มีการลบประวัติไปแล้ว แต่กองทะเบียนประวัติอาชญากรยังคงขึ้นอยู่ ซึ่งตนจะประสานเรื่องการลบข้อมูลให้เร็วที่สุด

About the author

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *